หลักการเลือก ที่ดินสร้างบ้าน

ที่ดินสร้างบ้าน

ใครๆ ก็อยากมีบ้านในฝันกันทั้งนั้น แต่ปัญหาที่หลายๆ คนพบก็คือ โครงการบ้านหลายแบบดูสวย น่าอยู่ แต่ก็ไม่ตรงกับที่อยากได้เสียทีเดียว สิ่งนั้นขาด สิ่งนี้เกิน สิ่งที่อยากได้ไม่มี สิ่งที่มีก็ไม่ค่อยได้ใช้ จะรื้อทำใหม่ก็ใช่เหตุ ในบทความนี้จะเสนอ หลักการเลือก ที่ดินสร้างบ้าน

ทางออกของเรื่องนี้จึงกลายเป็นว่า ถ้าคนอื่นทำให้ไม่ถูกใจ ก็สร้างเองเสียเลย แถมดูเหมือนการสร้างบ้านเองจะได้อะไรมากกว่าในงบประมาณที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย เพราะเราสามารถควบคุมคุณภาพวัสดุและการก่อสร้างได้ด้วยตนเอง รวมถึงแม้กระทั่งการเลือก ที่ดินสร้างบ้าน อีกด้วย แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นได้

อย่างแรกที่เราต้องคำนึงถึงด้วยความพิถีพิถันอย่างที่สุดคือ การหาที่ดินสำหรับปลูกบ้าน การเลือกที่ดินเปล่านั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไร

การจะหา “บ้านในฝัน” ซักหลังหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนต้องเข้าไปดูโครงการหลายสิบโครงการกว่าจะเจอบ้านที่ถูกใจ บางคนก็ยังคงไม่พอใจกับแบบบ้านของโครงการเหล่านี้ จึงเลือกที่จะหาซื้อที่ดินทำเลดีๆซักที่แล้วสร้างบ้านเองตามที่ใจอยากได้

แน่นอนว่าการซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านเองไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะไหนจะต้องซื้อที่ดิน ต้องหาผู้รับเหมา จ้างสถาปนิกออกแบบ ยังไม่รวมถึงปัญหาเล็กๆน้อยๆที่ต้องเจอระหว่างทาง ซึ่งหัวใจหลักก่อนอื่นใดคือ “การเลือกที่ดิน” วันนี้ TAMPBUILDER(แทมป์บิวเดอร์) จึงขอแนะนำข้อควรรู้ก่อนซื้อที่ดินเปล่าเพื่อปลูกบ้าน

 

สารบัญ

 

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อ ที่ดินสร้างบ้าน

ซื้อที่ดินสร้างบ้านเอง pantip

ต้องบอกก่อนเลยว่าการซื้อที่ดินเปล่าสำหรับปลูกบ้านนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่แค่ซื้อที่ดินมาแล้วจ้างผู้รับเหมาให้สร้างแล้วจะจบ เพราะคุณจะต้องเป็นเหมือนนายช่างใหญ่คอยคุมงานนี้ ตั้งแต่การว่าจ้างสถาปนิกมาออกแบบบ้าน ติดต่อกับผู้รับเหมานับสิบเจ้า เลือกเฟ้นวัสดุก่อสร้างต่างๆ ไปจนถึงตำแหน่งการวางเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกชนิด อีกทั้งยังต้องมาตรวจดูการทำงานเกือบจะตลอดเวลา เรียกได้ว่าเหนื่อยกว่าการซื้อบ้านที่สร้างเสร็จแล้วเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การสร้างบ้านเองก็มีข้อดีหลายอย่างที่คุ้มค่าต่อความพยายาม นั่นก็คือ ได้แบบบ้านที่ตามที่ตรงใจ เลือกเฟ้นวัสดุเองได้ไว้ใจในความแข็งแรงของบ้าน แพลนการตกแต่งจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างอิสระตามใจคุณ และที่สำคัญ ยังช่วยประหยัดงบประมาณลงไปได้มากเลยทีเดียว

หากคุณคิดว่ามันใช่สำหรับคุณ มาดูปัจจัยต่างๆ ก่อนซื้อที่ดินเปล่าปลูกบ้านได้ตามนี้เลย

1. เลือกทำเลให้ดี

ขึ้นชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็น “ทำเล” เรียกได้ว่าหากคุณเลือกทำเลไม่ดี ชีวิตคุณก็จะลำบากกว่าชาวบ้านแน่นอน ซึ่งคำว่าทำเลในที่นี้นั้น ไม่ได้หมายถึงแค่ที่ดินแปลงนั้นอยู่ส่วนไหนของเมือง ต้องดูว่าบริเวณโดยรอบนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกรอบข้างอะไรบ้าง การเดินทางเป็นอย่างไร สิ่งแวดล้อมเหมาะสมกับชีวิตคุณในปัจจุบันและอนาคตหรือไม่

กล่าวคือ หากคุณอยู่ในวัยทำงาน ที่แห่งนั้นสะดวกต่อการเดินทางไปถึงที่ทำงานของคุณแค่ไหน หากคุณมีลูกน้อย มีโรงเรียนใกล้เคียงหรือไม่ และหากในวันที่คุณเกษียณ บ้านหลังนี้จะสงบ ปลอดภัยและใกล้สถานพยาบาลหรือเปล่า สถานีตำรวจอยู่ไกลแค่ไหน ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย

อย่าเลือกพื้นที่เปล่าเปลี่ยวซึ่งเสี่ยงต่อการถูกปล้นจี้ พยายามไม่เลือกพื้นที่เข้าซอยลึกลับซับซ้อนมากเกินไป คือสามารถเดินทางได้ง่ายและรวดเร็ว ยิ่งมีบริการรถรับส่งสาธารณะได้ยิ่งดี นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซื้อ ตลาดนัด หรือแม้กระทั่ง คอมมูนิตี้ มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้า

และที่สำคัญ คุณต้องศึกษาในเรื่อง “ผังเมือง” ให้ละเอียด เพื่อจะได้รู้ว่าบริเวณที่คุณซื้ออยู่ในพื้นที่โซนไหน เพราะคุณควร เลี่ยงการอยู่ในโซนอุตสาหกรรม และโซนโรงงาน เนื่องจากไม่เหมาะกับการสร้างที่อยู่อาศัยและสามารถทำให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษต่างๆ ได้

2. รูปร่างลักษณะที่ดิน

สิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามในการซื้อที่ดินเปล่าคือรูปทรงของที่ดิน เนื่องจากส่วนใหญ่จะเน้นพิจารณาเรื่องทำเลเป็นหลักจนละเลยเรื่องรูปทรงที่ดินไปอย่างน่าเสียดาย โดยเทคนิคการเลือกซื้อที่ดินที่คุ้มค่าคือการเลือกซื้อที่ดินรูปทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าและสี่เหลี่ยมจัตุรัส เนื่องจากเป็นที่ดินที่มีมูลค่าสูงกว่าทรงอื่นๆ ยิ่งหากมีหน้ากว้างและด้านหนึ่งติดถนนยิ่งเพิ่มมูลค่าที่ดินได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญอย่าลืมพิจารณาว่าเป็นที่ดินตาบอดหรือไม่ เนื่องจากทำเลที่ดินตาบอดมักมาพร้อมกับการเดินทางที่ไม่สะดวกสบาย เป็นที่ดินมูลค่าต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นหากมีการพิจารณาแล้วว่าในอนาคตมีแนวโน้มได้รับการพัฒนา มีสาธารณูปโภคเข้าถึง ก็สามารถซื้อเก็บไว้ได้ แต่อย่าลืมว่าต้องใช้ระยะเวลาในการรอพอสมควร

3. ทางเข้า – ออก คือเรื่องสำคัญ

หัวใจของการซื้อที่ดิน คือ ทางเข้า-ออกที่จะสามารถไปสู่ถนนสาธารณะได้ ที่ดินที่ไม่มีทางเข้า-ออกเราเรียกว่า “ที่ดินตาบอด” หลายคนเข้าใจว่าที่ดินที่มีถนนอยู่ข้างหน้าคือทางเข้า-ออกของที่ดินเรา ซึ่งจริงๆเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด แม้เจ้าของที่ดินเองก็ยังคงเข้าใจผิดเช่นกัน ทางเข้า – ออกที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่ทางของเรา ดังนั้นทางที่ดีควรตรวจสอบกับกรมที่ดินก่อนตัดสินใจซื้อ

4. อ่านโฉนดให้เป็น

โฉนดที่ดิน คือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญที่ทุกคนควรรู้ไว้ หลายคนไม่คอยมีความรู้เกี่ยวกับโฉนดที่ดิน คิดว่าที่ดินแปลงนี้มีโฉนดก็ถือว่าน่าเชื่อถือได้ ซึ่งจริงๆแล้ววิธีการอ่านโฉนดที่ถูกต้อง จะต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน ดังนี้
a. การซื้อที่ดิน โฉนดในที่ดินจะต้องเป็นโฉนด น.ส.4 จึงจะสามารถซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ได้

b. พื้นที่ขายและพื้นที่จริงตรงกันหรือไม่ เจ้าของอาจจะบอกขนาดเกินจริง (ซึ่งมองด้วยตาเปล่ายากมาก) ควรจะตรวจสอบกับโฉนดอีกทีว่าตรงกันหรือไม่

c. ตรวจสอบหลังโฉนดว่าเจ้าของที่ดินเดิมติดจำนองหรือไม่?

d.เช็คว่าที่ดินนั้นโดนยึดหรือถูกอายัดไว้หรือไม่ ซึ่งตรงนี้จะไม่ปรากฎในโฉนดที่ดิน จะต้องตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน

5. พื้นที่ต้องเหมาะสม

ก่อนจะซื้อที่ดิน คุณควรจะมีภาพในใจอยู่พอสมควรแล้วว่า คุณจะใช้ที่ดินแปลงนี้ทำอะไร อย่างเช่นในกรณีนี้ คุณกำลังอยากได้บ้านสักหลัง แต่องค์ประกอบอื่นที่คุณต้องคิดต่อไปก็คือ ครอบครัวของคุณเป็นลักษณะไหน มีสมาชิกกี่คน มีสมาชิกในวัยไหนบ้าง

โดยเบื้องต้นแล้วคุณต้องมีพื้นที่ราว 50 ตารางวาสำหรับบ้านเดี่ยว 2 ชั้น โดยคุณจะได้พื้นที่ใช้สอยประมาณ 120 – 150 ตารางเมตร เพื่อให้รองรับทุกความต้องการของคนในบ้านได้แบบไม่อึดอัด รูปร่างของที่ดินควรจะเป็น 4 เหลี่ยม วางตัวในแนวตะวันออก – ตะวันตก เพื่อให้บ้านรับลมได้ดี ทั้งนี้คุณต้องคำนึง “ระยะถอยร่นอาคาร” ที่บังคับไว้ตามกฎหมายด้วย

6. ผังเมืองเรื่องต้องรู้

เรื่องสีของผังเมืองก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คุณจำเป็นต้องทราบว่า ที่ดินของคุณอยู่ในพื้นที่สีอะไร ซึ่งหมายความว่าคุณจะทำอะไรบนที่แห่งนั้นได้บ้างตามกฎหมาย เช่น คุณสามารถสร้างบ้านได้กี่ชั้น สามารถประกอบธุรกิจได้หรือไม่ เป็นต้น ขณะเดียวกันคุณก็จะทราบด้วยว่า สามารถเกิดสิ่งก่อสร้างอะไรขึ้นมารอบบ้านเราได้บ้าง ระวังในเรื่องของโซนอุตสาหกรรม โซนโรงงาน เพราะไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย และจะมีปัญหาทางด้านมลพิษเกิดขึ้นได้

7. ราคาที่เหมาะสม

งบประมาณถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับการซื้อ – ขายที่ดิน ยิ่งทำเลโดยรอบของคุณดีแค่ไหน ราคาก็ยิ่งดีดตัวสูงขึ้นไปมากเท่านั้น ในบางครั้งคุณอาจเจอนายหน้าแอบโก่งราคาขายอีกด้วย ทางที่ดีคุณไม่ควรใจร้อนและตัดสินใจซื้อในทันที แต่ต้องตรวจสอบ ราคาประเมิน ของที่ดินนั้นๆ ก่อน

โดยทั่วไปแล้วจะมีการประเมินด้วยกัน 3 ประเภท คือ ราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ ราคาประเมินที่ดินของภาคเอกชน และราคาตลาด

ต้องหาหลายๆ ที่ ดูทั้งความเจริญที่รายล้อม ดูว่ามีการถมดินให้แล้วรึยัง แล้วนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบบนทำเลใกล้ๆ กัน และค่อยตัดสินใจเลือกราคาที่คิดว่าเหมาะสมมากที่สุด

โดยมีวิธีตรวจสอบ ดังนี้

a. ราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ : ราคาที่ดินซึ่งประเมินโดย “กรมธนารักษ์” ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาล โดยปัจจุบันสามารถตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์ได้ผ่าน Website ของทางกรม http://property.treasury.go.th/pvmwebsite/index.asp

b. ราคาประเมินที่ดินของภาคเอกชน : เป็นการประเมินราคาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านราคาที่ดินจากภาคเอกชน โดยสามารถยื่นตรวจสอบได้ผ่านบริษัทประเมินราคาที่ดิน บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆ โดยจะอิงจากราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ และราคาตลาด แล้วกำหนดเป็นราคากลางของตัวเอง

c. ราคาตลาด : คือ ราคาที่ประเมินจากการซื้อขายที่ดินโดยรอบพื้นที่นั้นๆ ซึ่งราคานั้นขึ้นอยู่กับผู้ขายได้ตั้งไว้ ซึ่งราคาอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาประเมินอื่นๆ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ขาย โดยสามารถตรวจสอบได้จากประกาศลงขายต่างๆ

เมื่อได้ราคาประเมินทั้ง 3 ประเภทแล้วก็นำมาเปรียบเทียบกัน หากราคาที่ผู้ขายเสนอมาใกล้เคียงกับที่คำนวณได้ ถือว่าคุณได้ที่ดินในราคาที่เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าหากค้นหาราคาประเมินที่ดินไม่เจอ ให้วิเคราะห์จากราคาขายเฉลี่ยของที่ดินในละแวกใกล้เคียง

8. รู้กฎหมาย ศึกษาประวัติที่ดินให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ

ในการก่อสร้างที่พักอาศัยนั้นคุณควรรู้ถึงข้อกฎหมายเบื้องต้น คงไม่ต้องลงลึกถึงข้อจำกัด FAR หรือ OSR แต่อย่างน้อยๆก็ควรรู้ถึงข้อกฎหมายเบื้องต้น เช่น ระยะร่น เพื่อดูว่าที่ดินที่เราซื้อ จะได้บ้านที่มีพื้นที่ตามต้องการหรือเปล่า ดูว่าการปลูกสร้างบ้านของเรานั้นต้องห่างจากถนน หรือพื้นที่สาธารณะเท่าไหร่ และยังช่วยในการคำนวณหาขอบเขตของบ้านที่เราจะสร้าง

ถ้าข้างๆ เรายังเป็นที่ดินเปล่าเหมือนกัน ก็ควรสังเกตด้วยว่าจะสามารถก่อสร้างเป็นอะไรได้บ้าง เพราะตามกฎหมายจะบอกได้ว่าที่ดินตรงนั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้ นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบกับทางราชการว่าในอนาคตจะมีการเวนคืนที่ดินบริเวณนี้หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการโดนเวนคืนแล้วต้องย้ายไปที่อื่นอย่างกะทันหัน

วิธีง่ายๆ คือ สอบถามกับเจ้าของที่ดินก่อนว่าที่ดินแห่งนี้เคยมีปัญหามาก่อนหรือไม่ ประกาศขายมานานเท่าไหร่แล้วและเพราะเหตุใดจึงตัดสินใจขาย เมื่อได้ข้อมูลละเอียดแล้วควรเพิ่มความมั่นใจอีกทางโดยการตรวจสอบไปยังกรมที่ดินว่าที่ดินแห่งนี้ติดจำนองหรือถูกอายัดหรือไม่ กรมโยธาธิการและผังเมืองระบุว่าเป็นที่ดินต้องห้ามหรือไม่ สามารถซื้อขายได้อย่างถูกต้องหรือเปล่า เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบและเกิดเป็นคดีความตามมาภายหลัง

9. ทิศทางของพื้นที่โดยรอบในอนาคต

นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ บริเวณในปัจจุบันแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงทิศทางของพื้นที่โดยรอบในอนาคตด้วย นั่นก็คือ โอกาสที่ทำเลรอบๆ จะพัฒนาและมีความเจริญมากขึ้น เช่น แผนการเปิดห้างสรรพสินค้าต่างๆ การก่อสร้างโครงการหมู่บ้าน หรือแนวโน้มที่จะมีทางด่วนและรถไฟฟ้าตัดผ่านในอนาคต

เมื่อความเจริญจากตัวเมืองเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตาม อีกทั้งยังส่งผลให้ราคาที่ดินของคุณมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

คุณต้องลองวาดภาพสังคมรอบบ้านในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า นอกจากเรื่องที่ว่าสภาพแวดล้อมและผู้คนจะพัฒนาไปอย่างไรแล้ว สิ่งที่คุณต้องพิจารณาก็คือ มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่ความเจริญจะทาบทับมายังทำเลที่คุณเลือก ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เมื่อเมืองขยายตัวมาถึง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จะตามมา

แต่ในอีกแง่ เราไม่แน่ใจว่าคุณจะชอบใจนัก หากวันหนึ่งที่ดินของคุณอยู่ในขอบเขตการโดนเวนคืน หรือเบาหน่อยก็อาจจะมี ทางด่วน หรือรถไฟฟ้ามาสร้างใกล้ๆ

10. ทำเลใกล้ชุมชนย่อมได้เปรียบ

เทคนิคสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าจะสามารถสร้างเม็ดเงินจากที่ดินได้ภายในระยะเวลาที่ไม่นานเกินรอ คือ ควรเลือกซื้อที่ดินที่อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนไม่เกิน 8 – 10 กิโลเมตร และเป็นที่ดินที่มีแนวโน้มว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต สังเกตง่าย ๆ คือ ที่ดินที่มีถนนตัดผ่าน เนื่องจากถนนจะเป็นตัวนำความเจริญมาสู่พื้นที่นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้การลงทุนคุ้มค่าเพราะสามารถเรียกคืนเงินทุนได้รวดเร็ว หรือหากเลือกไว้พักอาศัยก็จะนำมาซึ่งความสะดวกสบายในอนาคตอย่างแน่นอน

11. สาธารณูปโภคขาดไม่ได้

ปัจจัยพื้นฐานที่ทุกๆ บ้านจะขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ “ไฟฟ้า” และ “น้ำประปา” แต่ก็ไม่ใช่ทุกๆ พื้นที่ที่สาธารณูปโภคเหล่านี้จะเข้าถึง อีกทั้งปัจจัยรองอย่างสัญญาณโทรศัพท์ และการให้บริการอินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับยุคสมัยนี้ไม่แพ้กัน จึงต้องทำการตรวจสอบกับทางภาครัฐ และผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ ให้ดีก่อนที่จะซื้อ

12. น้ำต้องไม่ท่วม

น้ำท่วม เป็นอีกปัญหาสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด เพราะบางพื้นที่ต้องประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับบ้านของคุณมากกว่าที่คิด ทั้งความเสียหายต่อเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ รวมถึงโรคต่างๆ และความสกปรกที่มากับน้ำท่วมด้วย ฉะนั้น สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ตรวจสอบประวัติของพื้นที่นี้ให้ดีว่าเคยประสบปัญหาน้ำท่วมหรือไม่ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่สำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินริมน้ำ ต้องไม่ลืมตรวจสอบระดับน้ำขึ้น – น้ำลงสูงสุดในแต่ละฤดูกาลอย่างละเอียด หากมีการพบว่าระดับน้ำเคยขึ้นมาจนล้นตลิ่งให้หลีกเลี่ยงการซื้อที่บริเวณนั้นในทันที รวมถึงตรวจสอบความแข็งแรงของตลิ่งด้วยว่ามีโอกาสทรุดหรือไม่ รวมไปถึงอัตราการถูกกัดเซาะของหน้าดินในแต่ละปีด้วย

13. อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากการตรวจสอบแบบเบื้องต้นยังไม่มากพอที่จะทำให้คุณมั่นใจกับที่ดินแปลงนี้ อย่าลังเลที่จะใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบอีกครั้งในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านทำเลที่ดิน ด้านสถาปัตย์ฯ และด้านกฎหมาย เพื่อให้มีข้อผิดพลาดจากการซื้อน้อยที่สุด โดยในแต่ละครั้งอาจต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นสินน้ำใจตอบแทนด้วย

สรุป

เท่านี้ทุกท่านก็ได้ทราบข้อควรรู้ทั้งหมดก่อนจะเริ่มซื้อที่ดินเปล่าสำหรับปลูกบ้านกันแล้ว ถึงอย่างไรการซื้อที่ดินเปล่าเพื่อปลูกบ้านนั้น ต้องคำนึงถึงงบประมาณที่จะต้องสร้างบ้านอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณต้องคำนวณงบประมาณต่างๆ ให้ดี ทบทวนข้อดีข้อเสียของการสร้างบ้านเองให้มั่นใจก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะนอกจากค่าที่ดินที่จะต้องจ่ายแล้วยังมีค่ารับเหมาก่อสร้าง ออกแบบบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ อีกด้วย

 

ได้บ้านในฝันตามงบประมาณ ราคายุติธรรม ช่างผู้รับเหมาไม่ทิ้งงาน

กด >> รับสร้างบ้าน

 

จากครอบครัวช่างผู้รับเหมาก่อสร้าง ใช้วัสดุคุณภาพสูง งบไม่บานปลาย เสร็จตามเวลา ช่างไม่ทิ้งงาน วางใจถึงหลังส่งมอบ มีประกันงาน บริการสร้างบ้าน รับออกแบบบ้านสวยๆ ทุกสไตล์ บ้านชั้นเดียว บ้านสองชั้น ขนาดเล็กและใหญ่ ราคาเหมาะสม ตามงบประมาณ กับ TAMPBUILDER(แทมป์บิวเดอร์) บริษัทรับสร้างบ้าน 

 

ข้อควรระวังก่อนซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้าน

ซื้อที่ดินสร้างบ้านเอง

1. ตรวจสอบที่ดินด้วยตัวเองในพื้นที่จริง

ควรเดินทางไปสำรวจ ตรวจดูที่ดินแปลงที่จะซื้อด้วยตัวเองให้เห็นกับตา ที่อ้างว่าที่แปลงนี้สวย ติดถนน ทำเลทอง มันจริงหรือไม่และที่สำคัญไม่ใช่เพียงฟังแค่ลมปากผู้ขายอย่างเดียว ผู้ซื้อต้องให้ผู้ขายเอาโฉนดมาตรวจดูว่าที่พามาดูนั้นเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับในโฉนดหรือไม่ เพราะหลายครั้งผู้ขายที่เจตนาหลอกลวงมาตั้งแต่แรกจะพามาดูที่ที่ไม่ตรงกับโฉนดเนื่องจากที่ในโฉนดทำเลที่ตั้งไม่ดี กลัวขายไม่ได้ เป็นต้น

2. ขอตรวจสอบหลักฐานที่สำนักงานที่ดิน

หลังจากผ่านข้อแรกมาแล้ว ผู้ซื้อจำเป็นต้องเช็คให้ชัวร์กับสำนักงานที่ดินแผนกรังวัดที่ดิน ว่าที่ดินแปลงที่ต้องการจะซื้อนั้นตรงกับเลขที่โฉนดหรือไม่ ใช่แปลงเดียวกันหรือเปล่าขอข้อมูลขนาด ตำแหน่งสอบถามตรวจสอบว่าโฉนดดังกล่าวไม่มีการติดอายัดหรือติดจำนอง เจ้าของที่ดินเป็นใคร อายุเท่าไร บิดามารดาชื่ออะไร มีหน้าตาอย่างไร จะได้แน่ใจว่าคนที่ผู้ซื้อติดต่อด้วยเป็นเจ้าของที่ดินจริง

3. เช็คให้ชัวร์ว่าผู้ขายเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์

ตรงจุดนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหลายครั้งพบว่าผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวตามกฎหมาย เช่น ที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกเจ้ามรดกมีทายาทหลายคน ทายาทคนใดคนหนึ่งจะทำการขายที่ดินโดยพละการไม่ผ่านผู้จัดการมรดกไม่ได้ กรณีนี้เมื่อผู้ซื้อที่ถึงแม้จะสุจริตใจ ไม่รู้มาก่อนว่าผู้ขายไม่มีความสามารถที่จะทำนิติกรรมซื้อขายครั้งนี้ได้ การซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะ

4. ตรวจสอบกับผังเมือง หรือ กรมโยธา

ถือเป็นอีกเรื่องที่ห้ามละเลย เพราะจะทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าเขตที่ดินของจังหวัดนั้นห้ามก่อสร้างประเภทอาคารอะไรบ้าง สร้างบ้านได้หรือไม่

5. ตรวจสอบระดับน้ำขึ้นลง

หากที่ดินติดหรือใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่า ระดับน้ำขึ้นน้ำลง หรือน้ำในฤดูมรสุมส่งผลกระทบต่อที่ดินมากน้อยแค่ไหน

6. ตรวจสอบเรื่องสาธารณูปโภค

พื้นที่ดังกล่าวมีระบบสาธารณูปโภคเป็นอย่างไร น้ำประปาเข้าถึงหรือไม่ ไหลแรงหรือเปล่า ไฟฟ้า สายเคเบิ้ล สัญญาณอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ดูให้แน่ใจว่าเหมาะสมที่จะอยู่อาศัย

7. เป็นที่ตาบอดหรือเปล่า

ความหมายของที่ดินตาบอดก็คือเป็นที่ดินที่ไม่มีทางเข้าออก จะเข้าหรืออกได้ต้องผ่านที่ดินอีกแปลง (ที่ของคนอื่น) ซึ่งผู้ซื้อหลายคนมักละเลยตรงจุดนี้

8. เสี่ยงต่อการถูกเวรคืน

สอบถาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่ดินผืนดังกล่าวในอนาคตเข้าข่ายถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ใดๆหรือไม่

9. ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกแค่ไหน

สะดวกต่อการเดินทางไปทำงาน ไปส่งลูกน้อยที่โรงเรียน หรือหากเกิดเหตุฉุกเฉินอยู่ไกลโรงพยาบาลมากน้อยแค่ไหน ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ตลาด ห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า เป็นต้น

10. ต้องเซ็นต์สัญญาซื้อขายที่ สำนักงานที่ดิน

การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมาจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดินเท่านั้นจึงจะสมบูรณ์ ผู้ซื้อไม่ควรหลงเชื่อผู้ขายโอนเงินค่าที่ดินค่าที่ดินกันล่วงหน้า ขณะเดียวกันผู้ขายก็ไม่ควรเซ็นต์มอบที่ดินให้กับผู้ซื้อก่อนได้รับชำระเงินจนครบเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดตามมาในภายหลัง

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อควรปฎิบัติก่อนทำการซื้อที่ดินเพื่อมาปลูกบ้านให้ปลอดภัย ถูกกฎหมาย ไม่โดนหลอกจากมิจฉาชีพ ลองนำวิธีดังกล่าวไปปรับใช้เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้อย่างถูกต้อง สบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องกรรมสิทธิ์และนิติกรรมสัญญาอีกต่อไป

 

หลักการเลือกที่ดินเปล่าเพื่อลงทุน

ซื้อที่ดินปลูกบ้าน

เเต่การลงทุนไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรารอบคอบเเละวางแผนมากเเค่ไหน การลงทุนในที่ดินเปล่า นอกจากจะเลือกได้อย่างถูกที่ถูกเวลาและราคาไม่เเพง ที่ดินที่เลือกต้องทำเงิน ได้กำไรในระยะเวลาสั้นๆ ด้วย ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มจากวิธีไหน ลองมาอ่านคำเเนะนำ กันก่อน

1. เลือกที่ดินเฉพาะที่อยู่ในหรือใกล้ชุมชนเท่านั้น

เพื่อให้แน่ใจว่าที่ดินเปล่าจะเพิ่มราคาได้ในระยะเวลาไม่นาน กฎกำปั้นทุบดินก็คือลงทุนในที่ดินเปล่าระยะประมาณ 48 กิโลเมตร จากศูนย์กลางแหล่งที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ มีประชากรอยู่อาศัยเกินกว่า 500,000 คนขึ้นไป

หรืออีกสูตรหนึ่งคือ เลือกลงทุนในที่ดินเปล่าในระยะประมาณ 8 กิโลเมตรจากชุมชน หรือเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยในระดับไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายใต้เงื่อนไขว่าทิศทางความเจริญต้องมาทางนั้นด้วย โดยดูจากอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร

2. ซื้อเมื่อแน่ใจว่าจะมีโอกาสทำกำไรได้เท่านั้น

สิ่งไหนล่ะที่จะทำให้เราแน่ใจ นั่นก็คือสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นความเจริญในพื้นที่ อย่างโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ ท่าเรือ หรือนิคมอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือต้องเริ่มก่อสร้างให้เห็น จะได้วางใจว่ามาจริงไม่มาหลอก

3. ลักษณะที่ดินและสภาพแวดล้อมต้องเกื้อหนุนการใช้ประโยชน์

ถ้าที่ดินแถวนั้นเป็นมลพิษ สิ่งแวดล้อมไม่ดี แน่นอนว่าคนคงไม่อยากซื้อ เช็กคุณภาพของดิน แหล่งน้ำ ไฟฟ้า ถนนทางเข้าออก สิ่งอำนวยความสะดวก สีผังเมือง และข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ตามผังเมือง

4. ต้องเป็นที่ดินติดถนนหรือมีทางเข้าออกของตัวเอง

ถนนจะนำพาความเจริญเข้ามา ทำให้ที่ดินติดถนนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเจริญกว่าที่ดินที่อยู่ลึกเข้าไป ยิ่งถ้ามีถนนทางเข้า-ออกเป็นของตัวเองก็จะการันตีได้ว่าไม่มีปัญหาการใช้ประโยชน์ในอนาคต

5. เน้นลงทุนที่ดินในพื้นที่หรือโซนที่มีซัพพลายที่ดินจำกัด

ซัพพลายในที่นี้หมายถึงที่ดินที่พร้อมใช้ประโยชน์ได้เลย นั่นคืออยู่ติดถนน มีประปาพร้อม ยิ่งที่ดินมีซัพพลายมากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลต่อการเพิ่มของคนและดีมานด์ เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นได้

6. เลือกที่ดินแปลงไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป

ถ้าเลือกที่ดินแปลงใหญ่มากๆ เงินลงทุนสูง + ขายยาก แต่ถ้าเล็กไป ก็จะเป็นอุปสรรคการใช้ประโยชน์ในอนาคต

หลักสากลกว้างๆ คือ ที่ดินใช้พัฒนาคอนโดฯ ย่านศูนย์กลางธุรกิจควรมีขนาด 150 – 200 ตารางวาขึ้นไป ถ้าเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม ต้องอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าและมีขนาด 2 – 3 ไร่ ส่วนที่ดินในเมืองที่อยู่ในซอยไม่ไกลจากถนนใหญ่+รถไฟฟ้าผ่านด้วย ควรมีขนาด 200 – 400 ตารางวา จะให้ผลตอบเเทนค่อนข้างดี เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูง ทำได้ทั้งคอนโดฯ และอพาร์ตเมนต์

7. พิจารณาดูรูปร่างและรูปทรงที่ดิน

ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ประโยชน์ว่าใช้ได้มากน้อยแค่ไหน รูปทรงที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดก็คือทางสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีหน้ากว้างติดถนน

8. ลงทุนโดยอาศัยสินเชื่อที่อยู่อาศัยช่วย

ถือเป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวต้นทุนต่ำที่เหมาะนำมาใช้ถือครองที่ดินมาก แถมเอามาลดหย่อนภาษีได้ด้วย แต่ธนาคารมักไม่ยอมปล่อยกู้เหมือนซื้อบ้านทั่วไป แต่ก็ยังมีช่องทางซื้อที่ดินเปล่าโดยขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 2 ลักษณะ กรณีแรกเป็นการยื่นกู้เพื่อซื้อที่ดินที่อยู่ติดกับที่อยู่อาศัยเดิมของตัวเอง ส่วนอีกกรณีเป็นการซื้อที่ดินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยในอนาคต

9. ตรวจเช็กที่ดินทุกครั้งก่อนซื้อ

ประเด็นที่ควรตรวจสอบก่อนซื้อคือ

– ตรวจสอบหลักเขต + ภาระติดพัน (สำนักงานที่ดิน)

– สีผังเมือง + ข้อกำหนดห้ามก่อสร้าง (สำนักงานโยธาฯ และสำนักผังเมือง)

– แนวเวนคืน (การทางพิเศษฯ และกรมทางหลวง)

– เขตวิทยุสื่อสารการบิน (สำนักงานการบินพลเรือนฯ)

– แนวเดินสายไฟฟ้าแรงสูง (การไฟฟ้าฯ)

 

บริการเสริม บริษัทรับเหมาก่อสร้าง TAMPBUILDER

บริษัทรับเหมาก่อสร้างของเราทำแบบครบวงจร ONE STOP SERVICE

  1. บริการรับสร้างบ้านหรู (สนใจ กด >> รับสร้างบ้านหรู luxury โมเดิร์น)
  2. บริการรับออกแบบบ้าน เขียนแบบบ้านยื่นขออนุญาต (สนใจ กด >> รับออกแบบบ้าน รับเขียนแบบบ้าน)
  3. บริการหาผู้รับเหมา หาช่างรับเหมา (สนใจ กด >> หาผู้รับเหมา หาช่างรับเหมา)
  4. บริการรับทำBOQ รับถอดแบบและประมาณราคา (สนใจ กด >> รับทำBOQ รับถอดแบบและประมาณราคา)

 

ข้อควรรู้ก่อนซื้อขายที่ดิน

ข้อควรรู้ก่อนซื้อขายที่ดิน

ที่ดินคือทรัพย์สินที่จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ทั้งยังนำไปพัฒนาต่อยอดให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องรอเวลาก็ได้เช่นกัน ดังนั้น การซื้อที่ดินมาเพื่อขายต่อ หรือ การนำเอาที่ดินที่มีอยู่แล้วจากมรดกไปขายต่อ จึงสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล

แต่อย่างไรก็ตาม การ “ขายที่ดิน” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจำเป็นต้องอาศัยความรอบคอบและความเข้าใจเรื่องการมองอนาคตทำเลที่แม่นยำด้วย โดยก่อนขายที่ดินนั้น มีสิ่งสำคัญที่ควรต้องรู้อย่างน้อย 3 เรื่อง ดังต่อไปนี้

1. รู้จักดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา คือ ตัวเลขที่วัดราคาค่าเฉลี่ยของที่ดินที่ยังไม่ได้ถูกพัฒนา ในปีหนึ่งๆ เทียบกับราคาเฉลี่ยของที่ดินเปล่าในปีอื่นๆ เป็นตัวเลขที่ทำให้ทราบแนวโน้มราคาที่ดินว่าปรับตัวสูงขึ้นแค่ไหน ซึ่งถ้าดัชนีราคาที่ดินเปล่าบริเวณใดมีค่าสูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ มาก ก็แสดงถึงความมีอนาคตของทำเลที่ดินบริเวณนั้น เพราะเมื่อถูกนำไปพัฒนาก็จะยิ่งมีมูลค่าสูงมากขึ้นอีก

ดังนั้น ก่อนจะขายที่ดิน หรือก่อนจะซื้อที่ดิน เราควรสำรวจข้อมูลดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาด้วยว่า ทำเลที่ดินบริเวณนั้นๆ ที่เราตั้งใจซื้อขาย มีอนาคตมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการตัดสินใจในการตั้งราคาให้ซื้อหรือขายได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564

จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ทำเลเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ทำเลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) สายสีทอง สายสีส้ม MRT สายสีแดงเข้ม และ BTS สายสุขุมวิท ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มว่า ที่ดินทำเลดังกล่าวนี้ เป็นที่ดินที่มีอนาคต หากจะขายก็ต้องตั้งราคาให้ดี หรือหากจะซื้อ ก็ต้องวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมที่สุด

2. รู้วิธีหาราคาประเมินที่ดินอย่างถูกต้อง

แน่นอนว่าการจะขายที่ดินให้ได้กำไรและคุ้มค่าที่สุดนั้น ไม่ใช่แค่ต้องขายให้ได้มากกว่าราคาทุนหรือราคาที่ซื้อมา แต่ยังต้องขายให้ได้เหมาะสมกับราคาที่ประเมินจากศักยภาพของที่ดินนั้นๆ ด้วย เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ที่ดินยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น และยิ่งหากที่ดินบริเวณนั้น ได้รับการพัฒนา มีถนน รถไฟฟ้า มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ที่ดินก็จะยิ่งมีราคาสูงขึ้นได้อีก

ดังนั้น การตัดสินใจขายที่ดินของเราในวันนี้ จึงต้องประเมินราคาปัจจุบันให้แม่นยำที่สุด และบวกรวมโอกาสความน่าจะเป็นของราคาที่ดินผืนนั้นในอนาคตไปด้วย เพื่อให้การซื้อขายในวันนี้ของเราไม่เป็นการทำให้เสียโอกาสจากราคาที่ดินที่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้ในอนาคตมากเกินไป โดยในการตั้งราคาก็จะต้องนำจุดเด่น นำอนาคตต่างๆ ที่จะทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นได้ มาทำการประชาสัมพันธ์เป็นจุดขายให้ผู้ซื้อทราบด้วย

ทั้งนี้ สำหรับการหาราคาประเมินที่ดินในปัจจุบันที่แม่นยำที่สุดนั้น สามารถขอรับบริการ ณ สำนักประเมินราคาทรัพย์สิน หรือจะใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ของสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน ที่เว็บไซต์กรมธนารักษ์ treasury.go.th ก็ได้ ซึ่งถือเป็นช่องทางในการคำนวณหาราคาประเมินที่ดินเบื้องต้นที่น่าเชื่อถือและแม่นยำมากที่สุด

3. รู้ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

แม้จะเป็นที่ดินที่เป็นมรดกตกทอดมา ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีต้นทุน แต่ในกระบวนการขายที่ดินนั้น ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมคำนวณไว้ให้พร้อมเช่นกัน โดยสิ่งที่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อขายที่ดินได้นั้น ก็เช่น ภาษีเงินได้ ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ก่อนที่จะทำการขายที่ดินได้สำเร็จ ก็ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการตลาด ในการทำประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะติดป้ายแบบออฟไลน์ หรือ ประกาศขายออนไลน์ ตลอดจนหากมีการใช้นายหน้า ก็จะต้องคำนวณในส่วนของค่านายหน้าเอาไว้ด้วย ค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นต้นทุน ที่ต้องวางแผนเตรียมไว้อย่างรอบคอบ เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดำเนินการขายที่ดินให้สำเร็จลุล่วง และยังต้องคำนวณมากำหนดเป็นต้นทุน เพื่อให้การตั้งราคาขายที่ดินนั้น ทำกำไรได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม ขั้นตอน การซื้อขายที่ดิน ตั้งแต่ต้นจนจบ ครบจบในที่เดียว

 

ลักษณะที่ดินต้องห้าม ไม่ควรใช้สร้างบ้านหรือซื้อไว้ลงทุน

ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างบ้าน

การซื้อที่ดินเป็นขั้นตอนแรกในการลงทุน ทำกิจการค้าขาย รวมถึงเพื่อการอยู่อาศัย ในการซื้อที่ดินนั้นนอกจากราคาแล้ว ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงก็มีอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ตำแหน่ง ที่ตั้ง เอกสารทางกฎหมาย หรือแม้กระทั่งความเป็นมาก็ล้วนแต่มีผลกับผู้ที่เป็นเจ้าของทั้งนั้น

เว็บไซต์ บริษัทรับสร้างบ้าน TAMPBUILDER(แทมป์บิวเดอร์) ได้รวบรวมลักษณะที่ดินต้องห้ามที่ไม่ควรซื้อเพื่อใช้สำหรับสร้างบ้านหรือซื้อไว้เก็งกำไร เพราะจะส่งผลเสียกับเจ้าของหรืออาจทำให้เสียเงินเปล่า

ที่ดินต้องห้าม ที่ส่อแววก่อเกิดปัญหาได้ในอนาคต เพื่อความสบายใจตัดปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นตัดสินใจลงทุน

1. เข้าออกลำบาก

มีลักษณะเป็นที่ดินที่ถูกล้อม ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินต้องห้ามลักษณะนี้อาจเกิดจากการแบ่งย่อยที่ดินแปลงใหญ่ให้เล็กลงเป็นหลายแปลง เช่น เป็นมรดกให้ลูกหลาน เป็นต้น ที่ดินลักษณะนี้ก่อเกิดปัญหาความวุ่นวายในการขอเส้นทางสัญจรเข้าออก ดังนั้นควรตรวจสอบตำแหน่งที่ดินเบื้องต้นได้โดยนำเลขที่โฉนดเข้าตรวจสอบที่กรมที่ดินเขตนั้น ๆ หากพบว่ามีเลขที่ดินล้อมอยู่ทั้งรอบแปลงที่ดินเรา สันนิษฐานว่าอาจเป็นที่ดินไม่มีทางเข้า – ออก (ยกเว้นโฉนดที่ดินจัดสรร)

ยื่นขอตรวจระวางใหญ่เพื่อดูแปลงที่ดินนั้นทั้งหมดต่อไป ทั้งนี้หากเป็นที่ดินตาบอด เจ้าของที่ดินแปลงนั้นก็มีสิทธิ์ฟ้องเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมรอบได้ เพื่อขอเปิดทางไปสู่ทางสาธารณะ เรียกว่า “ทางจำเป็น” ตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีการจดทะเบียนภาระจำยอมให้หรือไม่ การสัญจร “ทางจำเป็น” ต้องเกิดความเสียหายต่อที่ดินแปลงล้อมรอบให้น้อยที่สุดและต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของที่ดินแปลงนั้น ๆ ด้วย

2. ที่ดินรูปทรงไม่สมบูรณ์

รูปร่างที่ดินที่ผิดแปลกไปจากรูปทรงสี่หลี่ยมดูจะมีโอกาสเกิดปัญหาการใช้สอยประโยชน์พื้นที่ไม่น้อย ขณะที่หลายคนก็เชื่อหลักที่ดินต้องห้ามตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ผลลัพธ์มักออกมาในรูปแบบคล้ายกัน เช่น ที่ดินรูปชายธง (สามเหลี่ยม) เป็นหนึ่งรูปทรงที่ผิดหลักตามศาสตร์ฮวยจุ้ย และเมื่อมองในรูปแบบการใช้ประโยชน์พื้นที่จะพบว่า มักเสียประโยชน์ใช้สอยบริเวณสามเหลี่ยม

ด้วยหลักกฎหมายการก่อสร้าง ต้องคำนึงเรื่องระยะร่น การออกแบบโครงการตึกก็ทำได้ยากกว่ารูปทรงปกติ อาจก่อปัญหาอื่นตามมาได้ รูปทรงที่ดินต้องห้ามในการลงทุนจึงมักจะเป็นรูปทรงแปลก เช่น ทรงสามเหลี่ยม ทรงรี หรือทรงเหลี่ยมที่มีลักษณะหน้าแคบแต่ลึก ซึ่งยากต่อการใช้สอยประโยชน์ เป็นต้น

3. สถานที่เดิม – สิ่งแวดล้อมที่ดินไม่เหมาะสม

การตรวจสอบความเป็นมาของที่ดินแปลงนั้นก็สำคัญไม่น้อย อย่าลงทุนที่ดินต้องห้ามเพียงเพราะราคาประกาศขายถูกกว่าตลาด ลองสำรวจความเป็นมาที่ดินแปลงดูเสียก่อน ลักษณะที่ดินที่ไม่ควรลงทุน เช่น เป็นสุสานเก่า โรงพยาบาลเก่า โรงฆ่าสัตว์ เป็นต้น สาเหตุไม่ควรลงทุน คือ ด้านจิตใจและพลังงานร้าย ๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

สำหรับทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลจะเป็นเรื่องของดินที่กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่าง ๆ จากการกิจกรรมที่กระทำในอดีต จึงไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสถานที่ทางศาสนา อย่าง วัดวาอาราม โบสถ์ มัสยิด เป็นต้น

4. ตำแหน่งที่ตั้งที่ดิน เสี่ยงต่อความปลอดภัย

ตำแหน่งที่ตั้งแปลงที่ดินส่งผลต่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความมั่นคงในอนาคตได้ ต้องศึกษาตรวจสอบที่ดินว่าตั้งในบริเวณที่ก่อโอกาสเกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือความแข็งแรงของที่ดิน กลายเป็นที่ดินต้องห้ามหรือไม่ เช่น ที่ดินบริเวณทางสามแพร่ง โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งเข้าชนย่อมสูงกว่าตำแหน่งอื่น

ที่ดินบริเวณริมแม่น้ำฝั่งที่ถูกน้ำกัดเซอะ ยิ่งนานวันยิ่งเสียขนาดที่ดินพังทลายไปเรื่อย ที่ดินบริเวณเดิมเป็นบ่อเลี้ยงปลาเป็นบ่อน้ำ หากถมดินไม่ดี โอกาสเกิดที่ดินจะทรุดตัวย่อมมากว่าตำแหน่งอื่น หากสร้างบ้านอยู่อาศัยก็มีโอกาสไม่ปลอดภัยในอนาคตได้

5. เอกสารกฎหมายที่ดินต่าง ๆ

เอกสารกฎหมายที่ดินต่าง ๆ ลักษณะที่ดินเพื่อการลงทุนควรมีเอกสารทางกฎหมายชัดเจน รายละเอียดประเภทสิทธิการถือครองต่าง ๆ ควรทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนว่าตอบสนองความต้องการลงทุนของเราหรือไม่ บางกรณีมีข้อจำกัดสิทธิ ถือครองได้แต่โอนต่อไม่ได้ หรือ เป็นที่ดินไม่มีโฉนด เช่น ที่ดินมือเปล่า ลักษณะเป็น ส.ป.ก. ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ เป็นที่ดินของรัฐที่ไม่ได้ทำประโยชน์ จัดสรรให้แก่เกษตรกรได้เอาไปทำประโยชน์ประกอบอาชีพ

จึงจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประเภทที่ดินที่ไม่สามารถออกโฉนดได้ เช่น ที่ดินมีหลักฐานสิทธิทำกิน (สทก.) ลักษณะเป็นหนังสืออนุญาตให้ผู้ที่ได้เข้าไปบุกรุกทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นผู้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินเท่านั้น จึงไม่สามารถนำมาขอออกโฉนดที่ดินได้ เป็นต้น

 

การเลือกซื้อ ที่ดินสร้างบ้าน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำท่วมควรดูอะไรบ้าง

ซื้อที่ดินสร้างบ้านขาย

1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น

จากกรณีน้ำท่วม เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย

2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน

ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง

3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด

ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน

4. ความสูงต่ำของที่ดิน / ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน

ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกัน แต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น

ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง

5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดิน และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้

และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว

ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง

6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการ ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด

จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำ ที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้อง

 

สถาปนิกมืออาชีพออกแบบบ้านตามสไตล์คุณ วิศวกรเซ็นต์เพื่อยื่นขออนุญาต

กด >> รับออกแบบบ้าน รับเขียนแบบบ้าน

 

 

ที่ดินต้องห้าม สร้างบ้านแล้วมีแต่เรื่องไม่ดี

ที่ดินสร้างบ้าน 50 ตารางวา

การเลือกทำเลสร้างบ้านหรือการเลือกซื้อบ้านสำเร็จรูป นับเป็นเรื่องใหญ่และมีความสำคัญอย่างมาก เพราะด้วยจำนวนเงินที่ต้องลงทุนไป และที่สำคัญที่อยู่อาศัยนี้ยังมีทั้งผลดีและผลร้ายต่อสมาชิกในครอบครัวด้วย หลายคนมองเพียงเรื่องการดีไซน์ ความสวยงาม ราคา การเดินทาง ฯลฯ ซึ่งก็เป็นสิ่งถูกต้อง แต่กลับละเลยถึงรูปทรงของผืนดินอันเป็นที่ตั้งของบ้านนั้น ดังนั้น ก่อนควักเงินก้อนโตซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงเช่นนี้ ควรพิจารณาถึงรูปทรงของผืนดินและสภาพแวดล้อมรอบบ้านอย่างรอบคอบเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็น

1. ภูมิหลังของที่ดิน

ก่อนตัดสินใจเลือกที่ดินแปลงใดสร้างบ้าน ควรเสาะแสวงหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อนว่า ที่ดินนั้นเคยเป็นสถานที่ทำสิ่งใดมาก่อน ถ้าเป็นโรงฆ่าสัตว์ โรงพยาบาล สุสาน ศาสนสถาน เหล่านี้พึงหลีกเลี่ยงเสีย เพราะเป็นแหล่งรวมพลังงานด้านลบมากมาย ทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคด้วย

2. ที่ดินที่ใกล้แม่น้ำมากเกินไป

มีอันตรายเพราะตัวบ้านจะถูกน้ำกัดเซาะพังทลายได้ จึงควรปลูกบ้านให้ห่างจากแม่น้ำเป็นระยะที่พอสมควร และต้องไม่ใช่แหล่งน้ำนิ่ง ต้องเป็นน้ำที่มีการไหลเวียนหรือเคลื่อนไหวตลอดเวลา

3. ที่ดินต้องห้าม อยู่แล้วพบเจอแต่เรื่องร้าย

หลายคนเลือกซื้อที่ดินแปลงผืนที่ถูกใจเพื่อต้องการปลูกสร้างบ้านตามสไตล์ที่ตนเองชอบ ซึ่งที่ดินที่มีลักษณะถูกต้องตามฮวงจุ้ย ควรเป็นที่ดินแปลงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือจะเป็นที่ดินรูปสี่เหลี่ยมคางหมูซึ่งมีหน้าแคบหลังกว้างก็ได้ แต่ที่ดินที่มีลักษณะต่อไปนี้ ผู้ซื้อพึงหลีกเลี่ยง

a. ที่ดินรูปสามเหลี่ยมหรือชายธง ที่ดินแบบนี้ถือว่ามีผลร้ายในทางฮวงจุ้ยอย่างมาก เพราะอาจส่งผลให้สมาชิกในบ้านเจ็บป่วยบ่อย ขาดโชคลาภด้านการเงิน รวมทั้งเกิดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง นอกจากนั้น ที่ดินที่เป็นรูปสามเหลี่ยมนี้ มักเหลือที่ดินบางส่วนซึ่งไม่อาจใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย เป็นความสูญเปล่าที่น่าเสียดายยิ่ง

b. ที่ดินรูปมีดอีโต้ ที่ดินรูปค้อน ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน บ้านที่สร้างบนที่ดินลักษณะนี้ มักพบเจอแต่เรื่องเคราะห์ร้าย มีปัญหาด้านสุขภาพและอาจประสบอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่หากพิจารณาตาหลักเหตุผลแล้ว ที่ดินรูปค้อนเป็นที่เว้าแหว่ง ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่นั่นเอง

c. ที่ดินที่ต่ำกว่าพื้นที่โดยรอบ บ้านที่สร้างบนที่ดินที่ต่ำกว่ารอบๆ หรือบ้านที่มีถนนสูงกว่าตัวบ้าน ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ดี ตำราฮวงจุ้ยถือว่าสิ่งไม่ดีจะไหลถ่ายเทเข้าสู่บ้านได้

d. ที่ดินตาบอด เป็นที่ที่ไม่มีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะของตัวเอง ถูกล้อมรอบจากที่ดินของผู้อื่น ซึ่งการเดินทางเข้าออกต้องผ่านที่ดินของคนอื่นนั่นเอง

4. สภาพแวดล้อมรอบบ้านต้องห้าม นำมาแต่เรื่องร้าย

นอกจากที่ดินจะเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนปลูกสร้างบ้านแล้ว สภาพแวดล้อมรอบๆ บ้านเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มิควรละเลย ได้แก่

a. หลีกเลี่ยงการสร้างหรือซื้อบ้าน บริเวณที่อยู่ใกล้กับศาลเจ้า ศาลพระพรหม ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะส่งผลกระทบกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของสมาชิกในบ้าน

b. หากฝั่งตรงข้ามบ้านมีตราครุฑหรือกระจกแปดทิศส่องปะทะ หรือมองเห็นปล่องเมรุเผาศพในระยะสายตา เช่นนี้แล้วพึงหลีกเลี่ยงเสีย

c. รอบๆ บ้านมีสุสาน โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม ฮวงจุ้ยเสียหายลักษณะนี้ไม่ควรเลือกซื้อบ้านอยู่ใกล้อย่างเด็ดขาด เพราะพลังของดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในสุสาน ทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ขาดโชคลาภ และยังมีผลเสียอื่นอีกมากมาย

d. ทางโค้ง ทางสามแพร่ง ถนนที่พุ่งเข้าสู่ตัวบ้าน นำมาซึ่งเรื่องร้ายแรงมากมาย มีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้จนได้ประสบการณ์ตรงกับตนเองซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะสิ่งลี้ลับหรือการเจ็บป่วยบ่อยครั้งของสมาชิกในบ้าน บางคนอาจคิดว่า แขวนกระจกแปดทิศน่าจะแก้ไขได้ แต่ความจริงที่พึงระลึกไว้เสมอนั่นคือ กระจกแปดทิศช่วยสลายพลังอาถรรพ์หรือสิ่งไม่ดีได้เป็นบางเรื่องบางสิ่งเท่านั้น กระจกแปดทิศมิใช่ของวิเศษที่จะช่วยได้ทุกอย่าง

ดังนั้น สรุปได้ว่า ก่อนจะซื้อที่ดินสร้างบ้าน ควรสืบหาให้แน่ชัดถึงภูมิหลังความเป็นมา ตลอดจนพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบบ้านอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้บ้านเป็น “วิมาน” ของเราอย่างแท้จริง

 

รูปร่างที่ดิน เลือกซื้อที่ดินแบบไหนดี

หลักการเลือกซื้อที่ดิน

รูปร่างที่ดิน คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้คนให้ความสำคัญเมื่อจะเลือกซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านสักหลัง ต้องยอมรับว่าความเชื่อเรื่องหลักฮวงจุ้ยมีอิทธิพลไม่น้อย โดยรูปร่างหรือลักษณะที่ดินแต่ละแบบก็ส่งผลต่อการตัดสินใจต่างกัน ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ของการก่อสร้างและขายต่อ หรือตามหลักฮวงจุ้ยก็ตาม
ลองมาดูว่ารูปร่างที่ดินแบบไหนที่ดีและแบบไหนที่ไม่ดีบ้าง ที่ดินลักษณะท้องมังกรนั้นเป็นอย่างไร เหมาะแก่การนำมาปลูกสร้างที่อยู่อาศัยหรือไม่ มาหาคำตอบกันได้ที่นี่

รูปร่างที่ดินเปรียบเทียบหลักฮวงจุ้ยกับการก่อสร้างบ้าน

เมื่อว่าด้วยการซื้อบ้านแล้ว รูปร่างที่ดิน คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญไม่น้อย เพราะส่งผลต่อการใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย โดยผลกระทบดังกล่าวก็มีทั้งผลกระทบในแง่หลักการก่อสร้างบ้านหรือขายที่ดินต่อและอิงตามหลักความเชื่อ ‘สายมู’ หรือ ‘หลักฮวงจุ้ย’

แน่นอนว่าทั้งสองศาสตร์ต่างมีคำอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างที่ดินแตกต่างกันไป บทความนี้จึงได้รวบรวมคำอธิบายเกี่ยวกับรูปร่างที่ดิน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเปรียบเทียบและตัดสินใจเมื่อต้องซื้อบ้านที่มีลักษณะที่ดิน ดังนี้

1. รูปร่างที่ดินสี่เหลี่ยมจัตุรัส

ที่ดินทั้งสี่มุมทำมุม 90 องศาเท่ากัน หากว่ากันตามหลักของศาสตร์ฮวงจุ้ยแล้วนั้น ถือว่าเป็นทำเลดี เจ้าของที่จะเจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในชีวิต ผู้อยู่อาศัยจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย และใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

หากว่ากันตามหลักการก่อสร้าง ที่ดินสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ได้ง่ายที่สุด สามารถใช้สอยพื้นที่ได้มากที่สุด ล้อมรั้วได้ง่าย เหมาะกับการอยู่อาศัย หรือทำธุรกิจทุกรูปแบบ และข้อจำกัดในการก่อสร้างบ้านมีน้อย

2. รูปร่างที่ดินสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ที่ดินทั้งสี่มุมทำมุม 90 องศา แต่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ถือเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ ผู้อยู่อาศัยจะอยู่ดีมีสุข ประสบความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าในการใข้ชีวิต

เมื่อว่ากันตามหลักการก่อสร้างถือว่าเป็นรูปร่างที่ดินที่ดี หากเป็นที่ดินลักษณะหน้ากว้างและติดถนนใหญ่ เหมาะกับการสร้างอาคารพาณิชย์ เพราะเข้าถึงได้ง่าย ทำทางเข้าได้หลายทาง หากเป็นที่ดินหน้าแคบ แต่ลึกเหมาะกับการปลูกสร้างบ้านที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

3. รูปร่างที่ดินวงกลม

รูปร่างที่ดินวงกลม เป็นลักษณะที่ดินที่ดีมาก เนื่องจากไม่มีเหลี่ยมมุมพิฆาต ซึ่งเอื้อต่อการไหลเวียนของพลังงานอยู่ตลอดเวลา ในแง่ของการก่อสร้างถือว่าทำได้ง่าย มีพื้นที่ใช้สอยมาก

4. รูปร่างที่ดินสามเหลี่ยม

ลักษณะที่ดินแบบสามเหลี่ยมเป็นรูปทรงที่สื่อถึงความไม่มั่นคง ในหลักความเป็นจริงแล้วที่ดินสามเหลี่ยมจะเสียพื้นที่ใช้สอยตรงมุมแหลมไป ทำให้ใช้งานไม่ได้เต็มที่ และขายต่อได้ยาก

ลักษณะที่ดินสามเหลี่ยมที่มีทิศทางลาดเอียงจากบนลงล่าง เปรียบเหมือนลำดับขั้นที่ต้องใช้ความพยายามในการก้าวขึ้นไปบนยอดสูงสุด รูปร่างที่ดินดังกล่าวจึงส่งผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้า ในแง่ของหลักการก่อสร้าง ที่ดินสามเหลี่ยมลาดเอียงจากบนลงล่างถือเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง เจ้าของบ้านต้องเสียเงินถมที่ดินเพื่อปรับหน้าดินใหม่ถึงจะใช้งานได้ ทำให้เสียเงินเพิ่มอีก

รูปร่างที่ดินแบบไหน ผิดหลักฮวงจุ้ย

รูปร่างที่ดินที่มักไม่แนะนำให้ซื้อเนื่องจากส่งผลร้ายต่อผู้อยู่อาศัย มีดังนี้

1. รูปร่างที่ดินกงจักรหรือล้อเฟือง

รูปร่างที่ดินแบบนี้ถือเป็นที่ดินต้องห้ามตามหลักฮวงจุ้ย เพราะเจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศัยเสี่ยงหรือมีเหตุทำให้เสียเงินได้ รวมทั้งขัดสนทางการเงินอยู่เสมอ

2. รูปร่างที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมู

รูปร่างที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมูเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมที่ไม่มีความสมมาตร ขาดความสมดุลและพอดี อาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ทั้งในเรื่องการงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ที่สำคัญ อาจทำให้ขัดสนเรื่องเงินทองบ่อยครั้ง

3. รูปร่างที่ดินกระแทะ/รถเข็น

ที่ดินลักษณะนี้จะมีรูปร่างคล้ายเกวียนหรือรถเข็น กล่าวคือ ที่ดินเป็นสี่เหลี่ยม โดยที่ด้านใดด้านหนึ่งคอดเข้าหากันและยื่นออกมาข้างหน้า คล้ายกับเพลารถ สื่อถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นติดคุกหรือมีประเด็นทางกฎหมาย เพราะรูปร่างเกวียนหรือกระแทะคือตัวแทนของการเดินทางไม่หยุด เหมือนเจ้าของบ้านที่ต้องวิ่งเต้นทำเรื่องต่าง ๆ ไม่เคยได้หยุดพัก

4. รูปร่างที่ดินกลองบัณเฑาะว์

ที่ดินแบบนี้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม แต่ตรงกลางที่ดินบีบคอดเข้าหากันทั้งสองด้าน จะก่อให้เกิดพลังด้านลบ หากมีเรื่องต้องฟ้องร้องหรือขึ้นศาล มีโอกาสแพ้คดีความได้สูง

5. รูปร่างที่ดินหลังเต่า

รูปร่างที่ดินลักษณะนี้จะนำพาความร้อนอกร้อนใจเข้ามาหาเจ้าของบ้านหรือผู้อยู่อาศัย อาจเสี่ยงติดคุก ประสบอุบัติเหตุที่อันตรายถึงชีวิต หรือถูกฆาตกรรมได้

ลักษณะที่ดินท้องมังกร เป็นอย่างไร

เชื่อว่าสายมูหรือคนที่มองหาทำเลที่ดินสร้างบ้านนั้นต้องเคยได้ยินคำว่า ที่ดินท้องมังกร กันมาพอสมควร จริงอยู่ว่านี่อาจเกี่ยวเนื่องกับเรื่องความเชื่อมาตั้งแต่ต้น แต่ก็มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจไม่น้อยเมื่อต้องเลือกซื้อบ้านหรือซื้อที่ดิน

อันที่จริงแล้ว ที่ดินท้องมังกร คือ ที่ดินที่มีรูปร่างคล้ายตัว U โดยพื้นที่ทั้งสองด้านลากขนานคู่กัน จุดที่บรรจบกันมีลักษณะโค้งเหมือนคุ้งน้ำหรือทางถนนที่โอบล้อมเข้าหากัน หากว่ากันตามหลักความเชื่อฮวงจุ้ย ถือว่าเป็นทำเลทอง เพราะได้รับพลังมาเกื้อหนุนเต็มที่
แต่หากมองว่าเป็นกุศโลบายแล้วนั้นก็มีเหตุผลอีกเช่นกัน

เดิมทีคนสมัยก่อนมักเลือกเพาะปลูกหรือทำการเกษตรบนที่ดินที่มีลักษณะเช่นนี้ เพราะเป็นแหล่งที่กระแสน้ำชะลอตัวและพัดเอาปุ๋ยจากธรรมชาติมารวมสะสมกันไว้ อุ้มน้ำทำให้ดินชุ่มชื้นตลอดเวลา เหมาะแก่การปลูกพืชผล นี่เองจึงยิ่งเสริมย้ำแนวคิดที่่ว่าที่ดินท้องมังกรคือพื้นที่อุดมสมบูรณ์

หากสร้างบ้านบนที่ดินท้องมังกร ข้อดีคือ มีทางเข้า – ออกบ้านได้หลายเส้นทาง จากการที่ทำเลโอบล้อมด้วยถนนหรือแม่น้ำ เหมาะสำหรับการค้าขาย หรือประกอบธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม รูปร่างที่ดินเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจในการเลือกซื้อที่ดินหรือซื้อบ้าน ยังมีปัจจัยสำคัญอีกหลายอย่างที่เราต้องคำนึงถึงหากจะซื้อบ้านสักหลัง ทั้งในแง่ของความชอบ งบประมาณ และการต่อยอดในอนาคต

 

เทคนิคเลือก ที่ดินสร้างบ้าน สไตล์คนไทย

เทคนิคการเลือกที่ดิน

คนไทยเราเป็นชาติที่มีความเชื่อต่างๆมานานแล้ว ความเชื่อเรื่องการเลือกที่ดินปลูกบ้านเองก็เช่นกัน ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จริงๆแล้วศาสตร์การเลือกที่ดินปลูกบ้านไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่เกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นศาสตร์ที่สอดคล้องกับวิถีความเป็นอยู่ของคนไทยไปแล้ว

ซึ่งเทคนิคการเลือกที่ดินปลูกบ้านสไตล์คนไทยก็มีอยู่ทั้งหมด 8 เทคนิคด้วยกัน ได้แก่

1. พิจารณาจากรูปพื้นที่ดิน ควรเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวงหรือรวงผึ้ง, รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายข้างหนึ่งกว้างมนเหมือนคันธนู, รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส

2. พิจารณาจากระดับความสูงต่ำลาดเอียงของพื้นที่ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่นค่ะ เพราะแต่ละท้องถิ่นจะมีความเชื่อต่างกันดังนี้

– ภาคอีสาน เชื่อว่าที่ดินควรเป็นพื้นที่สูงทางทิศใต้และต่ำทางทิศเหนือ หรือสูงทางทิศตะวันตกและต่ำทางทิศตะวันออก

– ภาคใต้ เชื่อว่าที่ดินที่จะใช้สร้างบ้านต้องเป็นพื้นดินราบเสมอกัน ส่วนนอกบริเวณสร้างบ้านทางเหนือต้องสูงกว่าทางใต้ ส่วนทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกต้องเป็นพื้นที่ระดับเดียวกับพื้นที่สร้างบ้าน

3. พิจารณาจากตำแหน่งที่ตั้ง โดยดูตำแหน่งของจอมปลวก ที่ตั้งของบ่อน้ำขัง ที่ลุ่มน้ำ ที่สูง โดยภาคใต้และภาคอีสานจะเลือกสร้างบ้านบนที่ดินที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมบ่อ จอมปลวกหรือตอไม้ใหญ่ ส่วนภาคกลางชอบอยู่ใกล้แม่น้ำ เพราะให้ทัศนียภาพสบายตาและใช้น้ำทำประโยชน์ได้ด้วย

4. พิจารณาจากการดมกลิ่นดิน วิธีนี้ใช้กันมากในภาคอีสานโดยขุดดินบริเวณที่จะปลูกบ้านลึกประมาณ 1 ศอกแล้วเอาดินขึ้นมาดม หากดินมีกลิ่นหอมเหมือนเย็นๆหรือคล้ายดอกไม้ก็ถือว่าดี แต่ถ้ามีกลิ่นเผ็ดหรือกลิ่นเหม็นถือว่าเป็นที่อัปมงคล

5. พิจารณาจากการชิมรสดิน ต้องทำในเดือนอ้าย เดือนยี่ หรือเดือนสามที่หมดฝนแล้ว โดยขุดหลุมลึก 50 เซนติเมตร เอาใบตองสดปูที่ก้นหลุมแล้วเอาหญ้าคา 1 กำมือเกลี่ยทับ ทิ้งไว้หนึ่งคืนจนดินเป็นละอองน้ำเกาะจับอยู่ที่ใบตอง แล้วเอาละอองน้ำนั้นมาชิม ถ้ามีรสหวานก็ถือว่าที่ดินตรงนั้นดีพอสมควร แต่ถ้ารสจืดจะถือว่าดีที่สุด ส่วนรสเค็มเป็นที่ดินอัปมงคล และถ้ารสเปรี้ยวจะทำให้ผู้อยู่ป่วยไข้อยู่เสมอ

6. พิจารณาผ่านพฤติกรรมการกินข้าวของกา ส่วนใหญ่ใช้ในภาคอีสาน โดยการจัดข้าวขาว ข้าวดำ และข้าวแดงอย่างละกระทงไปวางไว้ที่พื้นที่ที่จะสร้างบ้านเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวขาวหมายถึงที่ดินนั้นดี ถ้ากากินข้าวดำหมายความว่าไม่ดี และถ้ากากินข้าวแดงถือว่าอัปมงคลที่สุด

7. พิจารณาจากน้ำมันมะพร้าวจุดไฟบนที่ดิน ขุดหลุมลึกประมาณ 2 ศอก ตัดปล้องไม้ไผ่สีสุกที่ยังสด 1 ปล้อง ใช้ด้ายดิบทำไส้ ใช้น้ำมันมะพร้าวทำเชื้อ แล้วตั้งกระบอกไม้ไผ่ไว้ในหลุม จุดไฟทิ้งไว้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วเปิดดู ถ้าน้ำมันพร่องลงไปไม่ควรใช้ปลูกบ้าน

8. พิจารณาจากสิ่งของที่ใส่หม้อฝังดิน นำไข่ไก่สด ทองคำเปลว และด้าย 5 สี (แดง เขียว เหลือง ขาว ดำ) ใส่หม้อดิน เอาผ้าขาวปิดปากหม้อหลายๆชั้นแล้วฝังในหลุมลึก 2 ศอก 15 – 30 วันแล้วขุดขึ้นมาดู ถ้าสิ่งของทุกอย่างไม่เสียเลยถือว่าที่ดินตรงนั้นมงคล แต่ถ้าไข่เน่าเชื่อว่าที่ดินตรงนั้นไม่ดี

อ่านเพิ่มเติม นับ 1 ถึง 100 “สร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง”

 

ข้อแนะนำในการเลือก ที่ดินสร้างบ้าน ที่อยู่แล้วเกิดโชคลาภมั่งมีศรีสุข

ข้อแนะนำในการเลือกที่ดิน

หากคุณคิดจะเลือกที่ดินเปล่าเพื่อปลูกบ้านสักหลัง ก่อนอื่นคุณควรสนใจในเรื่องของพลังงานพื้นดิน ทางฮวงจุ้ยเรียกว่า “พลังชี่” เป็นลำดับแรกก่อนที่จะคิดไปถึงเรื่องการออกแบบวางแปลนพื้นที่ของบ้าน รูปแบบลักษณะบ้าน และการกำหนดตำแหน่งของห้องต่างๆ

บ้านที่พักอาศัยของเรานับเป็นปัจจัยหนึ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาชีวิต ซึ่งทั้งบ้านและที่ดินต่างมีความเกี่ยวพันกับพลังชี่ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้การเลือกที่ดิน กำหนดทิศทาง และการจัดวางตำแหน่งของตัวบ้านที่เหมาะสมนั้นจึงมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง

พลังชี่ในที่นี้ หมายถึงพลังงานที่สอดประสานกลมกลืนกันของแหล่งพลังงานสองทาง ที่มาจากการไหลเวียนของกระแสพลังงานดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้า กับการไหลเวียนของกระแสพลังงานแม่เหล็กโลก ซึ่งเป็นพลังงานที่สร้างบรรยากาศอันละเอียดอ่อนที่เราไม่สามารถมองเห็นแต่รู้สึกสัมผัสได้ เช่น เมื่อคุณย่างก้าวเข้าไปในพื้นที่บางแห่ง หากพื้นที่ใดมีพลังชี่ที่ดี คุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สงบสุข สบายใจ

ในทางตรงกันข้าม หากพื้นที่นั้นมีพลังชี่เสียอยู่ คุณก็จะรู้สึกหดหู่หม่นหมอง เป็นต้น ปราชญ์ชาวจีนเชื่อว่า พลังชี่ดีย่อมมีโชคลาภ จะทำให้มีสุขภาพดี อายุยืน และเจริญรุ่งเรือง ดังนั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดเราจึงมุ่งเน้นที่จะควบคุมการไหลเวียนของกระแสพลังชี่เหล่านี้ด้วยการเลือกที่ดินที่มีพลังชี่ดีดีในการปลูกบ้านนั่นเอง

หากเลือกที่ดินที่อยู่ในพื้นที่โล่งและราบเรียบ จะได้รับกระแสพลังชี่ของสายลม แสงแดดอย่างเต็มที่ จะแตกต่างจากพลังชี่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา ซึ่งมีอากาศชื้นหนาวเย็นกว่า ในทำนองเดียวกัน หากเลือกที่ดินที่อยู่ในหุบเขา ก็จะมีกระแสพลังชี่ของลมพัดแรง เวลาฝนตกก็จะมีน้ำไหลท่วมได้ง่าย รวมทั้งมีดินถล่มรุนแรง ก็จะแตกต่างจากพลังชี่บนที่ราบสูง ที่จะมีบรรยากาศของการไหลเวียนพลังชี่ที่เหมาะสมกว่า

หมายความว่า รูปทรงของพื้นที่ดินแต่ละลักษณะนั้น จะมีประเภทของพลังชี่เฉพาะอย่าง กระแสชี่ที่ไม่เหมาะสมจะมีอิทธิพลที่ไม่ดีต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในพื้นที่นั้นๆ โดยตรง อาจก่อให้เกิดความผิดปกติแก่ร่างกายและจิตใจ ส่งผลต่อกระบวนการคิดมีความวิตกกังวลเป็นระยะๆ แม้กระทั่งความกระวนกระวายที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเจ็บป่วยง่าย อ่อนเพลียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นอนหลับยาก การงานการเงินไม่ดี การเรียนไม่สำเร็จ ขัดแย้งในหมู่คณะ และการดำรงชีวิตแย่ลง

ข้อแนะนำวิธีการง่ายๆ 5 ข้อ ในการเลือกที่ดินเพื่อปลูกบ้านพำนักอาศัยที่อยู่แล้วเกิดโชคลาภความเจริญรุ่งเรืองมั่งมีศรีสุข

1) ตรวจสอบเจ้าของเดิม

ก่อนจะตัดสินใจซื้อที่ดิน ควรเลือกเจ้าของเดิมที่มีพลังดีไว้ก่อน เพราะพลังชี่เดิมจะติดอยู่ ด้วยการตรวจสอบเจ้าของเดิมว่าเป็นอย่างไร เช่น มีชีวิตความเป็นอยู่เจริญรุ่งเรืองดี ร่ำรวย หรือมีปัญหาชีวิตเสื่อมถอย เจ็บป่วยร้ายแรง มีคดีความ เป็นต้น

2) ทดสอบความรู้สึกของตนเอง

ทำตัวสบายๆ แล้วเดินไปบนที่ดินที่คุณสนใจจะซื้อ หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นให้ถามตัวเองว่า คุณรู้สึกอย่างไร หากคุณรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจในขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็แสดงว่าที่ดินนั้นแผ่พลังชี่ที่ดีออกมา แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ค่อยดี หรือเกิดอาการเหนื่อยอ่อนไม่นานหลังจากที่เดินอยู่บนผืนดินนั้น ก็ไม่ควรซื้อหรือปลูกบ้านบนที่ดินผืนนั้น

3) ดูสี ดมกลิ่น ลักษณะของดิน

ดูสีของดินในพื้นที่ หากดินมีสีออกเฉดแดงหรือสีเหลืองจะมีพลังชี่ดีกว่าดินที่มีสีออกเทา คุ้ยดินที่อยู่ตอนบนออกมาแล้วหยิบดินที่อยู่ข้างใต้มาดมกลิ่น ดินที่ดีควรจะมีกลิ่นสดหอมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดพลังชี่ดินที่ดี หากมีกลิ่นออกเหม็นเน่าแสดงว่าเป็นดินที่มีพลังชี่เสีย

หลีกเลี่ยงที่ดินที่ชื้นแฉะมากหรือมีเนื้อดินที่อ่อนยวบเกินไป แสดงให้รู้ว่าที่ดินผืนนั้นมีแนวโน้มที่จะมีน้ำท่วมขัง รวมทั้งหลีกเลี่ยงที่ดินที่แห้งแข็งแตกเกินไป จนถึงขนาดที่ปลูกต้นไม้ไม่ได้เพราะขาดน้ำและถูกแดดเผา หากเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ปรับสภาพพื้นดินให้เหมาะสมก่อนสร้างบ้าน

4) สำรวจสิ่งแวดล้อมภายนอก

สำรวจสิ่งแวดล้อมภายนอกรอบๆ พื้นที่ดินว่ามีสิ่งปลูกสร้างหรือลักษณะภูมิประเทศที่ดูคุกคาม หรือมีพลังชี่ที่ไม่เป็นมงคลเข้ามากระทบในพื้นที่โดยตรงหรือไม่ เช่น มีสะพานโค้งตีจาก มีถนนพุ่งตรงเข้าบ้าน มีสุสาน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ โรงฆ่าสัตว์ เสาไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ เสาส่งสัญญาณที่มีคานขนาดใหญ่ไขว้กันไปมา หรือมีมุมแหลมของตึก รั้ว หรือกำแพง ที่มีรูปทรงแหลมชี้เข้ามา หรือมีตึกสูงใหญ่ตั้งล้อมพื้นที่

ตำแหน่งที่ดินตั้งอยู่ตรงทางตัน มีสายน้ำโค้งออกจากบ้าน มีต้นไม้ใหญ่แห้งตายอยู่นอกบ้าน และไม่ควรสร้างบ้านอยู่บริเวณเชิงเขา สิ่งเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดพลังชี่เสียเข้ามาในพื้นที่ โดยตรงส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านกำลังถูกต้อนให้จนมุม และมีร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย โกรธง่าย ใจร้อน ชอบวิตกกังวล มีความกดดันด้านจิตใจ หดหู่เศร้าหมอง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เห็นแก่ตัว รวมทั้งมีปัญหาการงานการเงินติดขัดด้วย

5) รูปทรงที่ดิน

ที่ดินรูปทรงสมมาตรจะมีกระแสพลังชี่ไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอนับเป็นรูปทรงที่ดีที่สุด เช่น รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กับรูปทรงจัตุรัสที่มีทิศเท่ากันหมด ทั้งสองรูปทรงนี้สื่อถึงความเป็นระเบียบ ความมั่นคง การจะหาที่ดินรูปทรงสมมาตรนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลย แต่คุณก็ควรมองหารูปทรงที่ดีประเภทนี้ไว้ และที่ดินที่เป็นรูปทรงตัวอักษร ”T” กับ ”L” ก็สามารถแบ่งที่ดินออกเป็น 2 ส่วน ให้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นใหม่ได้เช่นกัน

ส่วนที่ดินรูปทรงสามเหลี่ยม และสี่เหลี่ยมคางหมู จะมีการไหลเวียนของกระแสพลังชี่ที่ไม่สม่ำเสมอ ควรหลีกเลี่ยงถือว่าไม่เป็นมงคล

นอกจากเรื่องรูปทรงที่ดินแล้ว รูปทรงของบ้านก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันในเรื่องการไหลเวียนของกระแสพลังชี่ที่มีความสอดประสานกลมกลืนกัน บ้านที่มีรูปทรงสมมาตรจะมีกระแสพลังชี่ไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอนับเป็นรูปทรงที่ดีที่สุด บ้านที่มีรูปทรง ”T” กับ ”L” และ “H” และบ้านที่มีมุมเว้าแหว่ง ถือว่าเป็นบ้านที่มีพลังชี่ไม่ดี จะนำเคราะห์ร้ายมาสู่ผู้อยู่อาศัยทุกคน

อย่างไรก็ตาม บ้านที่มีรูปทรงไม่เป็นสมมาตรเนื่องจากมีมุมขาดหายไป ก็ยังสามารถทำการแก้ไขได้ โดยใช้ ต้นไม้ แสงไฟ รูปปั้นประดับสวน หรือรั้วมาใช้ในมุมเหล่านี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างทำให้เกิดพลังชี่ที่ดีขึ้นได้

การให้ความสนใจกับพลังงานต่างๆ บนโลก ทำให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับพลังงานของจักรวาลได้ ซึ่งพลังงานหรือพลังชี่เหล่านี้มีอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็ก คลื่นสายลม แสงแดด ดวงดาวบนท้องฟ้า รูปของน้ำ และพื้นดิน กระแสพลังชี่นี้จะไหลเวียนอยู่ภายในโลก ไหลผ่านโลก และไหลเวียนอยู่รอบโลก

ดังนั้น หากคุณสามารถเลือกพื้นที่ดินปลูกบ้านที่มีพลังชี่ดีได้อย่างถูกต้อง ย่อมหมายความว่า โชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งมีศรีสุข ได้มาเยือนคุณแต่แรกเริ่มแล้วจะคงอยู่กับคุณตลอดไปอย่างยั่งยืน

 

เลือกที่ดิน อย่างไรให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

สร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง

ถาม : จะซื้อที่ดินสักผืน ระหว่างที่ดินหน้ากว้างดีหรือหน้าเเคบ ดีกว่ากัน และที่ดินลึกหรือที่ดินดีตื้นดีกว่ากัน

ตอบ หน้ากว้างดีกว่าหน้าแคบ และ ที่ดินลึกดีกว่าที่ดินตื้น โดยถ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หน้าติดถนนต้องแคบกว่าด้านหลังบ้านจึงจะถือว่าดี

a. ต้องการเลือกซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้าน แล้วมีตัวเลือกอยู่ 2 แปลง คือแปลงเเรกที่ดินหน้ากว้างเเต่ตื้น แปลงที่ 2 ที่ดินหน้าเเคบเเต่ลึกยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว เจอแบบนี้ถึงกับปวดหัวเลยทีเดียว เพราะลักษณะที่ดินแบบนี้ตามหลักฮวงจุ้ยนั้นถือว่าไม่ดีทั้งคู่

b. ตามหลักของฮวงจุ้ยบอกว่ารูปทรงที่ดินที่ดีส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนรูปทรงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสามเหลี่ยม (ชายธง) รูปตัว T รูปตัว L ล้วนเป็นรูปทรงที่ดินที่ไม่ดีทั้งสิ้น

ถ้าเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสมักจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะมีตำแหน่งด้านเท่ากันหมดทั้ง 4 ด้าน ตัวบ้านจะวางในตำแหน่งไหนอย่างไรก็ได้ เเต่ค่อนข้างจะหารูปทรงที่ดินแบบนี้ยากสักหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเกือบทั้งนั้น

c. ถ้าที่ดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในทางฮวงจุ้ยบอกว่าให้เลือกสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ “หน้ากว้างลึก” อย่าเลือก “หน้ากว้างตื้น” พูดง่ายๆ ก็คือด้านหน้าต้องแคบกว่าด้านยาวที่ลึกเข้าในที่ดิน ถ้าเป็นด้านหน้ากว้างกว่าด้านลึกถือว่าเสียเเละผิดหลักฮวงจุ้ย

เเต่จะมีข้อยกเว้นอีกเช่นกันว่าถ้ารูปทรงที่ไม่สมดุลเป็นที่ดินผืนใหญ่ ผลเสียในทางฮวงจุ้ยก็มีน้อยหรือไม่มีเลย เพราะบ้านสามารถเลือกวางตรงไหนก็ได้ ถ้าเป็นกรณีที่ดินผืนเล็ก ลักษณะที่ดินผิดรูปย่อมส่งผลเสียอย่างเเน่นอน

เพิ่มเติมหลักฮวงจุ้ยบ้าน

1. ลักษณะที่ดินรูปทรงที่สามารถกักเก็บกระแสพลังงาน

หากเลือกที่ดินที่สามารถกักเก็บกระแสพลังงาน ตามหลักฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของกระแสพลังงานตามธรรมชาติ โดยที่ดินจะต้องมีรูปทรงสี่เหลี่ยมไม่ว่าจะเป็นรูปทรงจัตุรัสหรือผืนผ้า โดยที่ด้านหน้าของที่ดินจะต้องไม่แคบจนเกินไป นั้นคือที่ดินที่ใช้งานได้

2. ลักษณะที่ดินต้องไม่เป็นระดับที่สูงเกินไป

พื้นที่ดินจะต้องไม่เป็นระดับที่สูงเกินไปหากมีการเทียบกับพื้นที่ดินข้างเคียง เพราะกระแสอากาศจะไหลรวมลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้นหากเลือกที่ดินดำก็จะเป็นการสะสมกระแสอากาศได้มากกว่าผู้อื่น ดังนั้นหากเลือกที่ดินและทิศทางเป็นทิศทางที่รับกระแสโชค ก็จะส่งเสริมให้มีความเจริญรุ่งเรือง

3. ลักษณะที่ดินจะต้องมีจุดจ่ายกระแสพลังงาน

หากเลือกที่ดินที่ดี แต่ไม่สามารถจ่ายกระแสพลังงานได้ ก็ถือว่ายังเป็นที่ดินที่ไม่ดีพอเท่าไหร่ จะต้องเป็นที่ดินลักษณะของสายน้ำที่ลากผ่านหน้าดิน แนวเขา แอ่งน้ำ หรือ ช่องลมของอาคารตรงข้ามที่ดิน สำหรับข้อนี้อาจจะต้องปรึกษาซินแสสักหน่อย เพราะหากที่ดินและบ้านของคุณมีจุดจ่ายกระแสพลังงานจะดีมาก และช่วยส่งเสริมความรุ่งเรือง

สรุป หลักฮวงจุ้ยสร้างบ้าน

หลักฮวงจุ้ยสอนว่ารูปทรงที่ดินที่ดีจะต้องเหมาะสมกับขนาดของบ้าน สร้างเเล้วดูไม่อึดอัดหรือปล่อยโล่งจนเกินไปก็ถือว่าใช้ได้เเล้ว เเต่ถ้าสามารถเลือกที่ดินที่เหมาะสมได้ตั้งเเต่เเรก ก็ไม่จำเป็นต้องมาปรับแก้ไขหรือปรับช่วย ที่หน้ากว้างลึกถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะเลือกวางบ้านได้ง่ายกว่ารูปทรงอื่น

อ่านเพิ่มเติม ฮวงจุ้ยที่ดิน ลักษณะที่ดินมงคล

งานบริการยอดนิยมจาก บริษัทTAMPBUILDER ออกแบบ เขียนแบบ ถอดแบบ รับเหมาก่อสร้างบ้านและอาคาร ครบวงจร

หาผู้รับเหมา หาช่างก่อสร้าง รับออกแบบบ้าน รับเขียนแบบบ้าน รับทำ BOQ ถอดแบบประมาณราคา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!