Engineered Wood Flooring หรือ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เป็นไม้ที่ถูกนำมาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีด้านวิศวกรรม ทำให้มีความคงทน ปลอดภัยจากปลวกหรือแมลงอื่น (กรณีมีการเคลือบ/อบน้ำยา) และยังให้ความสวยงามอีกด้วย ที่สำคัญไม้ที่นำมาผลิตนั้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นไม้จาก ป่าปลูก โดยพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จะประกอบไปด้วยชั้นหลัก อยู่ 3 ชั้นได้แก่
1. ชั้นบนเป็นผิวหน้าไม้ โดยฝานมาจากไม้ซุง มีความหนาระหว่าง 2-3 มิลลิเมตร ซึ่ง
เป็นไม้จริง อาทิ ไม้โอ๊คธรรมชาติ, ไม้มะค่า, ไม้สัก, ไม้เมเปิ้ล เป็นต้น
2. ไม้ชั้นกลาง เป็นไม้ยูคาลิปตัสฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาซ้อนทับกัน เป็นชั้นๆ แบบสลับกันไปมาในแต่ละชั้น เพื่อลดการขยายตัวของพื้นไม้ แล้วปิดด้านบนด้วยหน้าไม้จริง
3. ไม้ชั้นล่างสุด สำหรับสร้างสมดุล และความแข็งแรงให้กับพื้นไม้ โดยปกติจะปิดทับด้วยไม้อัดเนื้อแข็งกว่าไม้ชั้นกลาง พ่น Oil paint เพื่อป้องกันความชื้น ขึ้นไป Core Board (ส่วนไม้ชั้นกลาง)
สารบัญ
- พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ กับ พื้นไม้ลามิเนต
- ข้อดีของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เทียบพื้นไม้จริง
- วิธีการเตรียมพื้นชั้นล่างก่อนปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
- พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สามารถติดตั้งได้ 2 แบบ
ไม้เอ็นจิเนียร์เป็นการนำเอาไม้จริงในป่าปลูก มาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมขั้นสูง โดยได้ผิวไม้มีความหนา 3-4 มม. มาอัดกับไม้เสี้ยนประสานสลับชั้นกันกับน้ำกาวคุณภาพสูงจนได้ขนาด 14 มม. แล้วนำไปอบควบคุมความชื้นไม่เกิน 12 % เคลือบผิวด้วย UV Acrylic Lacquer เพื่อให้ได้ลายไม้ที่ชัดเจนและมีความแข็งแรง
การผลิตไม้เอ็นจิเนียร์ผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการบิดงอหรือขยายตัวง่ายของไม้จริง โดยไม้เอ็นจิเนียร์นั้นจะมีความคงตัวสูง ไม่ยืด หด ห่อขยายตัวง่าย ซึ่งการติดตั้งก็สามารถทำได้ง่ายโดยไม่ต้องไปขัดสีหน้างาน ซึ่งไม้เอ็นจิเนียร์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายได้แก่ ไม้โอ๊ค ไม้สัก ไม้ค่า ซึ่งราคาจะสูงตามประเภทของไม้
ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
- ติดตั้งได้รวดเร็ว ไม่เสียเวลามาก
- มีความแข็งแรง และคงทนสูง ยืดหดตัวน้อยมาก ทนความชื้นได้ดีกว่าไม้ลามิเนต
- ปัจจุบันมีสีให้เลือกหลากหลาย
- สามารถขัดพื้นสีทำใหม่ได้
- ทนต่อการบิดงอสูง
- มีลวดลายไม้ที่แท้จริง
ข้อเสียของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
- มีราคาที่สูงกว่าไม้ลามิเนต
- ติดตั้งได้บนพื้นที่เรียบได้ระดับเท่านั้น หากพื้นที่ไม่เรียบเมื่อติดตั้งจะเป็นเสียงดังขณะเดิน
- ทนรอยขีดข่วน แรงกดทับได้น้อยกว่าไม้ลามิเนต
- ควรระวังในเรื่องของปลวกกิน
- ไม่ทนความร้อน
บริการของเรา
กดที่นี่!! >> บริษัทรับสร้างบ้าน
กดที่นี่!! >> รับออกแบบบ้าน รับเขียนแบบบ้าน
ไม้เอ็นจิเนียร์ กับ ไม้ลามิเนต
สรุปความแตกต่างด้วยปัจจัยการใช้งาน ระหว่าง ไม้ลามิเนต กับ ไม้เอ็นจิเนียร์
ไม้ลามิเนต เป็นไม้สังเคราะห์ที่มีความนิยม และเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เพราะมีความทนทาน สวยงาม มีลวดลายให้เลือกหลากหลายสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี แต่ก็มีข้อเสีย คือทนต่อความชื้นได้ไม่ดีเท่าไม้เอ็นจีเนียร์ ซึ่งไม้เอ็นจิเนียร์มีการพัฒนาการผลิตด้วยเทคโนโลยี จึงทำให้มีคุณสมบัติหลายๆด้านที่เด่น อาทิมีความคงตัวสูง ไม่ยืด ไม่หด แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงนี้ก็มีผลในเรื่องของราคาตามไปด้วย แต่การจ่ายแพงขึ้น ก็คุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้มาเพิ่มนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม พื้นไม้ลามิเนต
ข้อดีของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เทียบพื้นไม้จริง
เปรียบเทียบข้อดีของ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เทียบพื้นไม้จริง 5 ข้อ ดังนี้
1. เปรียบเทียบด้านความคงทนของผิวหน้า
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีความคงทนของผิวหน้ามากกว่าพื้นไม้จริง เพราะคุณสมบัติในการป้องกันรอยขีดข่วนมาจากกระบวนการทำสีและการเคลือบ พื้นไม้เอ้นจิเนียร์มีการเคลือบสีสำเร็จรูปจากโรงงานด้วยเทคโนโลยีการเคลือบที่ทันสมัย ซึ่งทนกว่าการทำสีและเคลือบหน้างานจากช่างติดตั้ง
2. เปรียบเทียบด้านการใช้งาน
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นการประสานของไม้จริงกับไม้อัด ป้องกันการโก่งตัวได้100% พื้นไม้จริงแม้จะผ่านการอบของชิ้นไม้ก่อนการติดตั้ง แต่การที่เป็นไม้จริงอาจมีการโก่งตัวของชิ้นไม้จริงหลังการใช้งานได้
3. เปรียบเทียบด้านความสวยงามของผิวหน้า
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีความสวยงามของผิวหน้าที่แสดงลายไม้เหมือนกับพื้นไม้จริงทั้งชิ้น เพราะผิวหน้าพื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นไม้จริง100% ขึ้นกับชนิดไม้ที่เลือกนำมาทำผิวหน้า
4. เปรียบเทียบด้านราคา
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีราคาประมาณ 1xxx-2xxx บาทต่อตารางเมตรรวมติดตั้ง ขึ้นกับชนิดไม้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าพื้นไม้จริงทั้งชิ้น 2xxx-3xxx บาทต่อตารางเมตร
5. เปรียบเทียบด้านความรวดเร็วในการติดตั้งและมาตรฐาน
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ผลิตจากโรงงานขนาดจึงมีมาตรฐานกว่าไม้จริงทั้งชิ้น การติดตั้งใช้การติดตด้วยระบบรางลิ้นหรือคลิกล็อครอบตัวแผ่น ทำให้ติดตั้งได้รวดเร็ว หน้างานมีความสะอาดเรียบร้อย การติดตั้งพื้นไม้จริงใช้การตัดประกอบ ขัดผิวหน้าและทำสีที่หน้างานจริงด้วยช่างติดตั้ง
อ่านเพิ่มเติม พื้นไม้จริง
วิธีการเตรียมพื้นชั้นล่างก่อนปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
1. การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ทับพื้นซิเมนต์ขัดหยาบและพื้นซิเมนต์ขัดมันที่เป็นพื้นใหม่
กรณีปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบบนโฟม พื้นไม้เอ็นจิเนียร์สามารถติดตั้งบนพื้นซิเมนต์ขัดหยาบได้โดยไม่ต้องขัดมัน สำหรับการปูกรณีปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบยึดกาวต้องปูบนพื้นซิเมนต์ขัดมัน ทั้ง2แบบต้องทำการตรวจสอบ 3 ส่วนคือ
1.1 ตรวจสอบความชื้นก่อนติดตั้ง ค่าความชื้นของพื้นก่อนติดตั้งต้องมีความชื้นไม่เกิน5% จากค่าผลทดสอบเครื่องวัดความชื้น
1.2 ตรวจสอบระดับก่อนติดตั้ง ทำการตรวจสอบโดยเครื่องวัดระดับเลเซอร์หรือไม้สามเหลี่ยมวัดระดับ พื้นก่อนติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ต้องมีระดับความเรียบสม่ำเสมอ
1.3 ตรวจสอบความแข็งแรงของผิวหน้าก่อนการติดตั้ง พื้นเดิมก่อนการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ต้องมีความแข็งแรง เป็นพื้นซิเมนต์ขัดหยาบหรือขัดมันเรียบแล้วแต่วิธีการปู ไม่มีการหลุดร่อนของผิวหน้าหรือมีละอองฝุ่นจากผิวหน้า เพื่อให้การยึดติดระหว่างพื้นไม้เอ็นจิเนียร์และพื้นซิเมนต์ยึดติดได้แน่น ไม่หลุดร่อนและให้ตัวหลังการใช้งาน
2. การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ทับพื้นซิเมนต์ขัดมันหรือขัดหยาบที่เป็นพื้นเดิม
ทำการตรวจสอบเหมือนข้อ1 เพิ่มเติมคือกรณีกรณีพื้นซิเมนต์เดิมไม่ได้ระดับ ต้องการทำการปรับระดับใหม่โดยการเทปรับระดับ โดยมีข้อควรระวังคือการประสานระหว่างพื้นเทปรับระดับใหม่และพื้นเดิมต้องมีความแข็งแรงและประสานกันได้สนิท100% อีกวิธีการการปรับระดับด้วยการรองพื้นด้วยสมาร์ทบอร์ดหรือวีว่าบอร์ดก่อนการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
3. การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ กับพื้นซิเมนต์ใหม่ และทำการปรับระดับด้วยซิเมนต์ Self Leveling
กรณีพื้นซิเมนต์เดิมไม่ได้ระดับและต้องการให้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีความเรียบสม่ำเสมอ100% สามารถเลือกใช้วิธีการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ทับพื้น Self Levelingได้ โดยพื้น Self Leveling เป็นการใช้ซิเมนต์ปรับระดับแบบไหลตัวง่าย Self Leveling Mortar เทปรับระดับบนพื้นซิเมนต์ขัดหยาบ ซึ่ง Self Leveling Mortar จะไหลปรับระดับด้วยตัวเองด้วยคุณสมบัติพิเศษ ทำให้พื้นได้ระดับ100% ปรับระดับได้ตวามความหนาที่ต้องการ ความหนาปรับระดับของพื้น Self Leveling ที่ปรับได้ขั้นต่ำ 3 มิลลิเมตร กรณีต่ำกว่าพื้นมีโอกาสแตกร้าวเนื่องจากปรับระดับบางเกินไป ข้อจำกัดคือพื้น Self Leveling มีค่าใช้จ่ายสูง ประมาณ 350 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ขึ้นกับความหนา
4. การติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ทับพื้นกระเบื้องที่เป็นพื้นเดิม
พื้นกระเบื้องส่วนใหญ่จะได้ระดับเพราะมีการทำระดับก่อนการติดตั้งพื้นกระเบื้อง และพื้นกระเบื้องมีค่าการป้องกันความชื้นสูง การตรวจสอบความชื้นและระดับพื้นกระเบื้องก่อนการติดตั้งจะทำได้ง่ายกว่าพื้นซิเมนต์ขัดมัน ควรเก็บรอยต่อแผ่นกระเบื้องเดิมด้วยปูนกาวหรือฟุตตี้ที่มีความแข็งแรงสูง เพื่อให้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์หลังติดตั้งไม่มีการยุบตัวเมื่อสัมผัส
บริการเสริม บริษัทรับเหมาก่อสร้าง TAMPBUILDER
บริษัทรับเหมาก่อสร้างของเราทำแบบครบวงจร ONE STOP SERVICE
- บริการรับสร้างบ้าน (สนใจ กด >> บริษัทรับสร้างบ้าน รับสร้างบ้าน)
- บริการรับออกแบบบ้าน เขียนแบบบ้านยื่นขออนุญาต (สนใจ กด >> รับออกแบบบ้าน รับเขียนแบบบ้าน)
- บริการหาผู้รับเหมา หาช่างรับเหมา (สนใจ กด >> หาผู้รับเหมา หาช่างรับเหมา)
- บริการรับทำBOQ รับถอดแบบและประมาณราคา (สนใจ กด >> รับทำBOQ รับถอดแบบและประมาณราคา)
การติดตั้ง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ สามารถติดตั้งได้ 2 แบบ ดังนี้
1. ปู พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ แบบติดกาวPU ติดบนพื้นซิเมนต์ขัดมันหรือพื้นกระเบื้อง
ข้อดีของการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบยึดกาวPU มีความแน่นของพื้นไม้มากกว่า พื้นไม้ไม่มีการให้ตัวยึดติดกับพื้นชั้นล่าง ข้อเสียคือการซ่อมแซมจะทำได้ยาก กรณีมีปัญหาต้องรื้อพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ทั้งผืน
2. ปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ติดตั้งแบบรองโฟมปรับระดับ(เหมือนพื้นไม้ลามิเนต)
ติดตั้งบนพื้นซิเมนต์ขัดหยาบหรือพื้นกระเบื้องการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ใช้การปูบนโฟมปรับระดับ ติดตั้งประสานแผ่นพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ด้วยระบบคลิกล็อค ติดตั้งได้รวดเร็ว ปูทับพื้นปูนซิเมนต์ได้โดยไม่ต้องขัดมัน หรือปูทับพื้นกระเบื้องเดิมได้ทันที การรื้อเปลี่ยนแผ่นทำได้ง่าย
ข้อดีของการปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์แบบปูรองโฟม คือสามารถซ่อมแซมได้ง่าย สามารถรื้อและปูใหม่ได้เฉพาะจุด ข้อเสียคือกรณีพื้นไม่ระดับพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะมีการให้ตัวและยุบตัวได้เมื่อเหยียบสัมผัส
อ่านเพิ่มเติม ราคาพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
งานบริการยอดนิยมจาก บริษัทTAMPBUILDER ออกแบบ เขียนแบบ ถอดแบบ รับเหมาก่อสร้างบ้านและอาคาร ครบวงจร